ระบอบประชาธิปไตยที่อยู่คู่คนไทยมานาน

 

นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2475 เป็นต้นมาประเทศไทยก็เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยซึ่งถือได้ว่าเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุดในปัจจุบัน และยังเป็นมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกต่างก็นิยมปกครองด้วยระบอบนี้ เพราะเป็นการปกครองที่ยอมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกผู้เข้ามาบริหารประเทศด้วยการเลือกตั้ง หรือที่เรียกว่า “อำนาจอธิปไตยที่มาจากประชาชน”

ระบอบประชาธิปไตยของประเทศเรามีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสูงสุด ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ในการบริหารประเทศ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งที่ประชาชนเลือกเข้ามา มีวาระบริหารคราวละ 4 ปี และหากหมดวาระก็มีโอกาสกลับเข้ามาบริหารประเทศได้อีกถ้าถูกเลือกเข้ามา โดยไม่มีข้อกำหนดว่าอยู่ได้กี่สมัย

ซึ่งจะว่าไประบอบประชาธิปไตยของบ้านเรามีมานานกว่า 80 ปี เกือบเท่าช่วงอายุหนึ่งของคน อาจจะดูว่านานแต่เมื่อเทียบกับบางประเทศที่ใช้เวลาเป็นร้อยปี  แต่เหมือนกับว่าการเมืองไทยยังไม่ถูกพัฒนาไปในทิศทางไหนกันเสียที นักวิชาการบางท่านเคยกล่าวไว้ว่าเป็นเพราะ ประชาชนยังไม่มีความพร้อม ยังไม่รู้จักใช้สิทธิ์ ใช้เสียง ใช้อำนาจของตนเองที่มีอยู่ในมือ ในการเลือกผู้แทนของตนเอง (โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล มีการขายเสียงด้วยการแลกกับเงินเพียงเล็กน้อย โดยมีคำพูดติดหูที่ว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น”) อีกส่วนหนึ่งมาจากความไม่พร้อมของนักการเมือง ที่พร้อมจะทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อซื้อเสียงเข้ามา แต่ไม่พร้อมที่จะทุ่มเทให้กับประเทศ ต่างเข้ามาหวังกอบโกยผลประโยชน์เข้าสู่ตนเอง ขาดจรรยาบรรณของนักการเมือง และข้อสุดท้ายคือบ้านเมืองไม่พร้อม ทั้งในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ให้เป็นกฎหมาย แต่กลับกลายเป็นกฎหมายมีไว้บังคับใช้สำหรับคนจนเท่านั้น ในขณะที่ผู้มีอำนาจ มีอิทธิพล ผู้ร่ำรวยกับนำไปบังคับใช้ไม่ได้ส่งผลให้ประชนชนรู้สึกได้ถึงความไม่เสมอภาค

ดังนั้นสรุปได้ว่าประเทศไทยแม้จะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบเต็มรูปแบบอาจต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร จนกว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขปัญหาต่างๆให้ค่อยๆหมดไป ที่สำคัญคือประชนชนทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันยืนหยัดในหลักการของประชาธิปไตย ให้เป็นไปตามรูปธรรมของประชาธิปไตย ปล่อยให้บุคคลที่ถูกเลือกเข้ามาได้มีโอกาสบริหารประเทศได้ตามวาระเสียก่อน ไม่ใช่ว่าพอไม่ใช่ผู้ที่ตนให้การสนับสนุนได้เข้ามาบริหารประเทศก็ร่วมตัวกันขับไล่  หรือฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง หากต้องการใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือ ตอนเลือกตั้งก็ควรออกไปใช้สิทธิใช้เสียงเลือกคนที่มีประวัติการทำงานที่ดีให้เข้ามาบริหารประเทศจะดีกว่าการตกเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายประเทศคะ

“มหาตมะ คานธี” นักต่อสู่เสรีภาพแห่งประเทศอินเดีย

 

หากจะกล่าวถึงนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพในโลกใบนี้มีมากมายหลายท่าน ที่สร้างคุณประโยชน์และทำเพื่อมวลชนอย่างแท้จริง แต่ถ้าจะให้นึกถึงใครเป็นอันดับต้นๆคงต้องยกให้ “มหาตมะ คานธี” ผู้โด่งดังที่ยอมพลีชีพเพื่อความถูกต้องแด่ชาวอินเดียอย่างแท้จริง

“ มหาตมะ คานธี” หรือ โมฮันดาส เค. คานธี เกิดวันที่ 2 ตุลาคม 1869 ในวรรณะแพศย์ ณ.เมืองโพรบันดาร์ รัฐคุชราต บิดาเป็นนักการเมือง ส่วนมารดาเป็นผู้หญิงที่เคร่งศาสนา พอคานธีอายุได้ 13 ปีก็แต่งงานตามประเพณีกับ “กัสตรูพา” และเมื่ออายุครบ 18 ปี ทางบ้านก็ส่งคานธีไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษในวิชากฎหมาย

ซึ่งการใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นคานธีต้องพบเจออุปสรรคมากมายทั้งเรื่องการกินอยู่ วัฒนธรรม และปัญหาการเหยียดสีผิว แต่ก็ไม่ได้ทำให้คานธีย่อท้อเพราะสุดท้ายเขาก็ได้เรียนจบเนติบัณฑิตตามความตั้งใจและเริ่มอาชีพทนายความอย่างไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

จุดพลิกผันที่ทำให้คานธีลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเสรีภาพก็เมื่อคานธีได้โดยสารรถไฟชั้น First Class เพื่อไปแอฟริกาใต้ แต่กลับถูกคนผิวขาวรวมหัวกันขับไล่ให้คานธีไปนั่งในชั้นราคาถูกเพียงเพราะสีผิวที่แตกต่าง ทีแรกคานธีก็ไม่สนใจเขามองเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ผลกลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่ของรถไฟได้โยนคานธีออกจากรถ พร้อมตะโกนไล่ว่า “รถไฟชั้นหรูมีไว้บริการคนผิวขาวเท่านั้น” นอกจากนั้นเขายังพบว่าคนผิวสีล้วนถูกเหยียดให้เป็นคนต่ำต้อย จากเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมรณรงค์ เรื่องสิทธิมนุษยชนในแอฟริกาใต้ถึง 6 ปี แต่ก็ไม่เป็นผล

คานธีเลยเปลี่ยนมาใช้วิธี “สัตยาเคราะห์” หรือคือวิธี “ดื้อเงียบ” ด้วยการไม่ใช่ความรุนแรง แต่ใช้การไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ปฎิบัติตามกฎใดๆที่มองแล้วว่าไม่เป็นธรรม ยังกดขี่ข่มเหงมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเมื่อเขากลับมายังบ้านเกิด เขาก็พยายามที่จะออกเดินสายไปทั่วประเทศอินเดียเพื่อเรียกร้องให้ชาวอินเดียได้ตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของตนเองให้มากกว่านี้ในฐานะของความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นเขายังเรียกร้องความสมานฉันท์กันระหว่างฮินดูกับชาวมุสลิมให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

จนเมื่อเข้าสู่ยามเย็นของวันที่ 30 มกราคม ค.ศ.1948 ในช่วงที่คานธีกำลังสวดมนต์ไหว้พระอยู่กลางลาน ก็ได้มีนายนาถูราม โคทเส ชาวฮินดูต่อต้านการสมานฉันท์ระหว่างฮินดูกับมุสลิมยิงปืนใส่คานธี เข้าที่หน้าอกและท้อง  3 นัด จนคานธีล้มลงพร้อมพนมมือด้วยความสงบ คำสุดท้ายที่เปล่งออกมาคือคำว่า “ราม” หลังจากนั้นคานธีก็ถึงกับอนิจกรรมอย่างสงบในวัย 78 ปี มหากวีเอกชาวอินเดียได้ให้สมญานามคานธีว่า “มหาตมะ คานธ” มีความหมายว่า       “ ผู้มีจิตใจสูงส่ง”

เสรีภาพกับสังคมไทยในปัจจุบัน

 

สังคมไทยเป็นสังคมที่อยู่ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การที่สังคมจะอยู่ได้อย่างสงบสุขนั้น คนในสังคมต้องปฏิบัติตามแนวทางที่สังคมกำหนดไว้ เช่น เคารพกฎหมาย เคารพสิทธิ เสรีภาพในด้านต่างๆ หากกล่าวถึงคำว่า สิทธิ เสรีภาพ หลายคนอาจเข้าใจว่ามีความหมายเหมือนกัน แต่แท้ที่จริงแล้ว สองคำนี้มีความหมายที่ต่างกัน แต่มักใช้ร่วมกันอยู่เสมอ

สิทธิ หมายถึง อำนาจอันชอบธรรมที่สามารถกระทำการใดๆ โดยไม่มีผู้ใดบังคับ ได้อย่างอิสระ แต่ต้องได้รับการรับรองทางกฎหมาย

เสรีภาพ หมายถึง การใช้สิทธิ การตัดสินใจกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยไม่มีบุคคลอื่นแอบอ้างหรือใช้อำนาจแทรกแซงในการใช้สิทธิและการตัดสินใจนั้นๆ และในการใช้สิทธิ การตัดสินใจนั้นต้องเป็นการกระทำที่มาจากตัวเอง และต้องไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งนี้นอกจากเป็นการกระทำที่ไม่ผิดกฎหมายแล้ว ต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ อีกด้วย เช่น ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะทำให้สังคมอยู่ได้อย่างมีความสุข

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้กำหนด เสรีภาพ ของคนไทย ดังนี้

  1. คนไทยจะได้รับความคุ้มครองในส่วนที่อยู่อาศัย จะไม่มีบุคคลใดเข้ามาในเคหสถานได้ หากมีการตรวจค้น หรือเข้าไปในเคหสถาน โดยไม่มีหมายค้น หรือ ผู้ครอบครองไม่ได้ยินยอม
  2. ไม่สามารถเนรเทศบุคคลผู้มีสัญชาติไทยออกนอกประเทศและไม่สามารถห้ามบุคคลผู้มีสัญชาติไทยเข้าประเทศได้
  3. คนไทยสามารถแสดงความคิดเห็น โดยการพูด เขียน หรือวิธีอื่นๆได้ แต่ต้องไม่ขัดกับความมั่นคง เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
  4. คนไทยสามารถเลือกนับถือศาสนา ตามความศรัทธา แต่ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรม และหน้าที่
  5. ในการติดต่อสื่อสารถึงกันต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่สามารถทำการต่างๆ เช่น เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้
  6. คนไทยสามารถชุมนุมได้อย่างสงบ ปราศจากอาวุธ ยกเว้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน การประกาศใช้กฎอัยการศึก หรืออยู่ในภาวะสงคราม
  7. คนไทยสามารถรวมตัวกันเป็นสหองค์กร องค์กรเอกชน หรือหมู่คณะอื่นๆ ได้ ยกเว้นการอาศัยกฎหมายเฉพาะเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคนส่วนรวม
  8. คนไทยสามารถรวมตัวกันจัดตั้งพรรคการเมืองได้ ตามวิถีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
  9. สามารถจำกัดการประกอบอาชีพ การแข่งขันได้ เพื่อป้องกันการผูกขาดหรือความไม่เป็นธรรมทางการค้า โดยอาศัยกฎหมายในการรักษาความมั่นคงของเศรษฐกิจในประเทศ

จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าเสรีภาพเป็นหลักการที่สำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพื่อความเสมอภาคกันของคนในสังคม ทั้งนี้หน้าที่ของพลเมืองที่ดี คือการเคารพสิทธิ เสรีภาพ ของกันและกัน ช่วยกันพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

เสรีภาพในด้านต่างๆ แห่งดินแดนสยามเมืองยิ้ม

thailand1

หากพูดถึงประเทศไทยสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับว่านี่คือความโชคดีอย่างมากก็คือประเทศไทยจัดเป็นประเทศหนึ่งที่มีสิทธิและเสรีภาพมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก นับตังแต่เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยประเทศไทยเองก็ถือได้ว่ามีการพัฒนาในด้านสิทธิและเสรีภาพมากขึ้นเรื่อยๆ อะไรซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่ายกย่องไม่น่าชื่นชมต่างคนก็ต่างที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นกันได้ ซึ่งหากจะแปลในคำว่าเสรีภาพอย่างแท้จริงก็หมายถึง การที่บุคคลสามารถกระทำการอันใดได้อย่างอิสระตามความต้องการของตนเองแต่ทั้งนี้จะต้องไม่ไปละเมิดเสรีภาพคนอื่นหรือว่าทำการให้ผิดกฎหมาย

thailand2

ถ้าจะพูดถึงเสรีภาพที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้นต้องบอกว่านับเป็นประเทศที่ให้เสรีภาพได้มากเทียบเท่ากับหลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วของโลกเลยก็ว่าได้ซึ่งถ้าจะแบ่งเสรีภาพของประชาชนไทยตามรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 10 ด้าน ประกอบไปด้วย

  1. เสรีภาพในการนับถือศาสนา – ประเทศไทยแม้จะมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแต่คนไทยก็สามารถที่จะมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาอื่นได้โดยที่ไม่มีความผิดแต่อย่างใด
  2. เสรีภาพในการประกอบอาชีพ – คนไทยทุกคนสามารถประกอบอาชีพได้ทุกๆ อาชีพที่เป็นอาชีพสุจริตและไม่มีการแบ่งชนชั้นกันว่าอาชีพไหนคืออาชีพที่สูงหรือต่ำ ทุกคนต่างก็มีหน้าที่ทำอาชีพของตนเองให้ออกมาดีที่สุด
  3. เสรีภาพในร่างกาย – คนไทยมีเสรีภาพในการที่จะดูแล ปกป้อง รักษาร่างกายของตนเองให้อยู่ดีมีสุข โดยที่ไม่ต้องโดนบังคับใดๆ
  4. เสรีภาพในเคหะสถาน – คนไทยมีเสรีภาพในด้านของที่อยู่อาศัย หากว่าการพักอาศัยนั้นทำอย่างถูกต้องและไม่ได้เดือดร้อนผู้อื่นรวมไปถึงไม่ใช่ที่สาธารณะ
  5. เสรีภาพในการศึกษาอบรม – รัฐบาลของประเทศไทยมีการกำหนดระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เด็กไทยส่วนใหญ่พึ่งจะได้รับ รวมไปถึงยังมีการแบ่งสายเรียนตามความถนัดของเด็กแต่ละคนให้เลือกเรียนด้วย
  6. เสรีภาพในการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา – พูดง่ายๆ ก็คือคนไทยมีเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารหรือว่าเผยแพร่สิ่งต่างๆ ได้อย่างอิสระ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย
  7. เสรีภาพในการเดินทาง – ทุกพื้นที่ที่อยู่ในราชอาณาจักรไทยคนไทยสามารถเดินทางไปได้
  8. เสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สภาพ สหกรณ์ และพรรคการเมือง – เป็นเสรีภาพสำหรับคนที่มีความคิดลักษณะเดียวกัน แต่ทั้งนี้การรวมตัวกันต้องไม่ก่อให้เกิดปัญหาหรือความขัดแย้งต่อบ้านเมือง

เสรีภาพทางด้านเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา

usa.1

สหรัฐอเมริกาจัดได้ว่าเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกในเวลานี้เลยก็ว่าได้ เพราะด้วยความที่มีอำนาจในการกุมเศรษฐกิจต่างๆ ของโลกใบนี้เอาไว้ ทำให้เรามักจะเห็นว่าเวลาที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีปัญหาเศรษฐกิจของโลกก็จะมีปัญหาตามไปด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นการที่สหรัฐฯ จะขยับตัวอะไรนั้นโลกจึงจำเป็นต้องจับตามองเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามในเรื่องของเสรีภาพทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต้องยอมรับว่านี่จัดเป็นประเทศที่ให้เสรีภาพในการลงทุนอย่างมากประเทศหนึ่งของโลก

ประชาชนส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ จัดได้ว่าเป็นประชาชนที่อยู่ในฐานะปานกลางไปจนถึงรวยมาก มีเป็นส่วนน้อยที่จะเป็นคนจนอันเนื่องมาจากระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นระบบเสรี ทำให้เกิดผู้นำทางด้านธุรกิจของโลกในด้านต่างๆ มากมายถือว่าเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจและเป็นผู้นำในด้านของเทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบทั้งในด้านบวกและด้านลบต่อโลกมากมาย รวมไปถึงอัตราการเจริญเติบโตของ GDP หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศมีแนวโน้มในการเติบโตขึ้นอยู่ตลอดทำให้สหรัฐฯ ถือเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย จากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูง อัตราการว่างงานของคนในสหรัฐฯ ก็ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ในด้านเสรีภาพของเศรษฐกิจยังนิยมชมชอบในการลงทุนด้านการพัฒนาเกี่ยวกับการวิจัยและการลงทุนเพื่อศึกษาเรืองราวต่างๆ เพื่อให้ตัวเองได้กลายเป็นที่สุดในทุกๆ ด้าน อย่างไรก็ดีเมื่อมีการเทียบอัตราส่วนทางด้านของเศรษฐกิจก็จะเห็นได้ว่า งานทางด้านการบริการมีอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูงถึงเกือบ 80% นั่นจึงส่งผลสำคัญที่ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชนหรือบริษัทห้างร้านต่างๆ ก้าวเข้ามาอยู่ในฐานะผู้นำทางด้านต่างๆ ของโลก รวมถึงยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเพื่อทำการตัดสินใจในการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ดำเนินไปได้อย่างเสรี

usa.3

ถ้าเราสังเกตเห็นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่สหรัฐฯ มักจะเข้ามามีส่วนร่วมอยู่เสมอและเป็นผู้นำอิทธิพลในด้านต่างๆ ของโลก มองภาพที่ใกล้ที่สุดก็คือ Facebook ที่เราใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และเมื่อได้รับความนิยมสูงก็ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำในด้านการสื่อสารทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น แค่ตัวอย่างง่ายๆ ใกล้ตัวแค่นี้ก็ทำให้มองเห็นภาพถึงความเป็นผู้นำเศรษฐกิจแบบเสรีภาพของสหรัฐฯ แล้ว คิดดูว่าถ้าหากประเทศเขาไม่ให้อิสระในการทำงานก็คงไม่มีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นมาบนโลกอย่างแน่นอน ยังไม่รวมไปถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ซึ่งได้กลายเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้การยอมรับอย่างมากกับประเทศสหรัฐฯ

เสรีภาพกับปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศซีเรีย

 

syria.2

เมื่อพูดถึงประเทศซีเรีย แน่นอนว่าทุกคนคงต้องนึกถึงปัญหาความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นและบานปลายกลายเป็นสงครามการเมือง ผู้คนไม่สามารถที่จะอยู่อาศัยได้ ทุกอย่างภายในเมืองดูโหดร้าย มีแต่การฆ่ากัน การรบกัน บ้านเมืองมีแต่ซากปรักหักพังของตึกรามบ้านช่อง เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่น่ากลัวอีกประเทศหนึ่งไปโดยปริยาย ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงจุดนี้มีประเด็นมาจากเรื่องของเสรีภาพทางการเมืองประเทศซีเรียที่มีกลุ่มต่อต้านเกิดความไม่พอใจต่อประธานาธิบดี บัชชาร์ อัลอะซัด ทำให้กองกำลังของเจ้าตัวจำเป็นต้องจัดการด้วยการใช้มาตรการที่รุนแรง ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวก็ค่อยๆ เพิ่มทวีคูณมากยิ่งขึ้นจากการประท้วงของประชาชนทั่วไปกลายเป็นการก่อการกบฏมีอาวุธจากการล้อมของทหารที่กินระยะเวลานานหลายเดือน

แรกเริ่มเดิมทีนั้นทางรัฐบาลของซีเรียก็ใช้กองกำลังทหารของพวกเขาเป็นหลัก แต่หลังจากนั้นหน่วยป้องกันอื่นๆ จากอาสาสมัครที่เรียกตัวเองว่า กองกำลังป้องกันชาติ ได้ค่อยๆ ขยับเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นและได้กลายมาเป็นกองทหารกำลังหลักของประเทศซีเรีย ซึ่งตรงจุดนี้เองรัฐบาลซีเรียก็ได้รับความช่วยเหลือทั้งในด้านของการเงิน ด้านเทคนิค ด้านการทหารและการเมืองจากประเทศพันธมิตรอย่างรัสเซีย อิหร่าน และอิรัก ซึ่งความช่วยเหลือของประเทศเหล่านี้ได้ให้การสนับสนุนซีเรียมาตั้งแต่ต้น และอิหร่านเองก็ได้ส่งหน่วยทหารเข้ามาร่วมรบในครั้งนี้ด้วยโดยเป็นการสนับสนุนกองกำลังทหารให้กับทางซีเรีย ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจึงถูกเรียกว่า สงครามตัวแทน ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างชนชาติซุนนีและชีอะห์

หากจะย้อนกลับไปถึงสาเหตุแห่งความขัดแย้งที่ค่อนข้างจะบานปลายในครั้งนี้คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2554 ที่เกิดการเดินขบวนประท้วงของประชาชนในประเทศซีเรียทั่วประเทศ โดยการเดินขบวนในจุดนี้นับว่าเป็นส่วนหนึ่งสำหรับการเดินขบวนประท้วงในแถบตะวันออกกลางซึ่งถูกเรียกว่า อาหรับสปริง โดยการเดินขบวนประท้วงดังกล่าวเพื่อต้องการเรียกร้องให้ประธานาธิบดี บัชชาร์ อัลอะซัด ลาออกจากตำแหน่ง รวมไปถึงให้พรรคที่เขาสังกัดอยู่ซึ่งเป็นพรรคที่ปกครองประเทศซีเรียมากกว่า 40 ปี ต้องออกไปทั้งหมด อย่างไรก็ตามนอกจากจะไม่มีการลาออกจากตำแหน่งแล้วยังมีการสั่งให้ทหารตอบโต้ประชาชนด้วยการยิงได้เลยหลังจากที่ก่อนหน้านี้ปิดล้อมมานาน

อย่างไรก็ตามนี่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเสรีภาพทางการเมืองที่เกิดขึ้นซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะก็ตามแต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมันช่างเป็นสิ่งที่ใหญ่หลวงเกินกว่าอะไรที่จะบรรยายได้ ประเทศเองก็บอบช้ำ ประชาชนก็ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก เป็นความหดหู่ใจทีเกิดขึ้นในประเทศซีเรียซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นวันที่สงบสุข

syria

 

ทำความรู้จักกับ เช กูวาร่า นักกอบกู้เสรีภาพของโลก

Guevara1

เมื่อได้ยินขื่อของ เช กูวาร่า แน่นอนว่าทุกคนคงจะนึกถึงภาพชายหนุ่มผมยาวประบ่า หนวดเคราครึ้ม ชอบใส่หมวกและชุดทหาร พร้อมทั้งขอบคาบบุหรี่ แต่ใครจะรู้ว่านี่คือหนึ่งในคนที่พยายามจะสร้างเสรีภาพให้กับคนทั่วโลกจนทำให้คนทั่วทั้งโลกยึดถึงเขาเยี่ยงวีรบุรุษ เพราะเขาคือนักต่อสู้ มีอุดมการณ์ที่ชัดเจนจนเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านการโดนกดขี่หรือความไม่เที่ยงตรงไม่เป็นธรรมในทุกๆ ที่บนโลกใบนี้

เออเนสโต ราฟาเอล กูวารา เดอ ลา เซอนา คือชื่อเต็มๆ ของชายที่ชื่อ เช กูวาร่า เขาคือคนที่เรียกได้ว่าเป็นผู้นำเกี่ยวกับการเมืองและเป็นนักปฏิวัติคนสำคัญของประเทศคิวบาเลยก็ว่าได้ เกิดเมื่อ 14 มิถุนายน 1928 ในประเทศอาร์เจนติน่า เหตุผลเพราะว่าครอบครัวของเขาได้ทำการอพยพจากสเปนและมาตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยในละตินอเมริกา ซึ่งเขาเองคือลูกคนโตที่สุดในครอบครัวจากพี่น้องทั้งหมด 5 คน ในพื้นฐานทางครอบครัวของเขาถือว่าเป็นคนในครอบครัวชั้นกลางแต่ว่าก็มีแนวทางทางการเมืองที่โน้มเอียงไปทางซ้าย ซึ่งตัวเขาเองก็นับได้ว่าเป็นคนที่ค่อนข้างมีหัวรุนแรงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เช กูวาร่า มีโรคประจำตัวคือโรคหอบหืดแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา และในปี 1953 เขาก็ได้จบการศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบัวโนสไอเรส

แต่สิ่งที่ทำให้เขาได้เป็นจุดเริ่มต้นและกลายเป็นนักปฏิวัติก็คือช่วงที่เป็นนักศึกษาเขาและเพื่อนได้เดินทางไปท่องเที่ยวทั่วอเมริกาใต้ด้วยรถจักรยานยนต์ผ่านหลายๆ ประเทศ อาทิ โบลิเวีย, ชิลี และเวเนซูเอล่า และยังเคยไปเป็นแพทย์ฝึกหัดช่วงสั้นๆ ในประเทศเปรู ซึ่งตรงจุดนี้ เช ได้มองเห็นถึงภาพของความอดอยาก ยากจนจากชาวบ้านที่โดนกดขี่ต่างๆ นานาจากพวกนักการเมืองหรือนักธุรกิจซึ่งเป็นการกระทำในยุคของทุนนิยม และจากการที่เขาได้รู้จักกับแนวคิดมาร์กซิสต์มันทำให้กลายเป็นแนวคิดที่มีอิทธิพลต่อตัวเขามากที่สุด เป็นสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะอุทิศชีวิตเพื่อคนอเมริกาใต้

เมื่อเขาได้ย้ายไปทำงานในเม็กซิโกทำให้เขาได้รู้จักกับ ฟิเดล คาสโตร นักปฏิวัติชาวคิวบาและเขาก็ได้กลายมาเป็น 1 ในผู้ร่วมกองกำลังของคาสโตรทำหน้าที่แพทย์ แต่จากการที่เขาโดนถล่มในการเดินทางขึ้นฝั่งคิวบาทำให้เขาเลิกเป็นแพทย์และหันมาเป็นทหารแทน และในที่สุดเขาก็ร่วมกับคาสโตรปฏิวัติคิวบาได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ทำให้เขาต้องออกจากคิวบาและไปทำกองโจรที่โบลิเวียก่อนโดนทหารจากรัฐบาลโบลิเวียที่ถูกสนับสนุนโดยสหรัฐฯ ตีกองโจรของเขาจนแตก เช เองถูกยิงบาดเจ็บก่อนโดนประหารชีวิตในที่สุดทั้งที่ยังไม่ได้มีการตัดสินอะไรด้วยซ้ำ นับเป็นการจบตำนาน เช กูวาร่า

การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของชาวเพศที่ 3 ในประเทศไทย

lovers1

หากมองย้อนกลับไปในอดีตเพศที่ 3 ถือได้ว่าเป็นเพศที่ยังไม่ค่อยได้รับการยอมรับมากอย่างที่ควรจะเป็นสำหรับประเทศไทย อาจจะด้วยความที่ตั้งแต่ในอดีตกาลเพศที่ถูกต้องควรจะมีแค่ 2 เพศ ก็คือเพศชาย กับ เพศหญิง นั่นทำให้ในยุคสมัยหนึ่งที่เริ่มมีเพศที่ 3 เกิดขึ้นยังคงถูกสังคมไทยไม่ได้รับความสนใจแถมยังถูกมองว่าเป็นเพศที่ผิดแปลกไปจากปกติและไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างที่ควรจะเป็น

ทว่าเมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนไปสื่อและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของโลกมีการพัฒนามากยิ่งขึ้น ประเทศไทยเองก็ได้รับอิทธิพลต่างๆ นานามากยิ่งขึ้นเรื่อยจนเรื่องของเพศที่ 3 กลายเป็นเรื่องที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ใครที่รู้ว่าตัวเองเป็นเพศที่ 3 ก็สามารถที่จะเปิดเผยตัวตนได้อย่างสบายใจ แต่ถึงกระนั้นเองในสังคมไทยก็ยังคงมีการเรียกร้องเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของเพศที่ 3 อยู่เนืองๆ อาจจะด้วยความที่แม้การประพฤติปฏิบัติตนจะสามารถทำได้อย่างที่ใจตัวเองต้องการแต่ในหลายๆ เรื่องราวก็ยังคงไม่ได้รับการยอมรับอย่างที่ควรจะเป็น

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ หากเป็นผู้ชายซึ่งเป็นเพศที่ 3 แน่นอนว่าต้องการใช้คำนำหน้าเป็นนางสาวทว่าตามกฎหมายของไทยก็ยังคงต้องให้คงไว้ซึ่งความเป็นชายในการใช้คำนำหน้าว่า นาย หรือเรื่องของห้องน้ำที่หลายๆ สถานที่ในประเทศไทยยังคงมีไว้แค่ 2 เพศ เมื่อเพศที่ 3 ต้องการจะเข้าห้องน้ำก็ต้องเลือกตามความเหมาะสมหรือตามเพศสภาพของตัวเอง รวมไปถึงการแต่งตัวในพิธีสำคัญหรือพิธีมงคลต่างๆ ที่หลายๆ ครั้งเพศที่ 3 ก็ยังไม่ได้รับสิทธิเสรีภาพให้แต่งตามที่ตัวเองต้องการมากอย่างที่ควรจะเป็น จากจุดเล็กๆ เหล่านี้นี่เองที่บุคคลเพศที่ 3 มองว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการเรียกร้องเพื่อให้เข้าใจในความต้องการของตัวพวกเขา และแม้ว่าในหลายๆ เรื่องก็เริ่มที่จะมีการผ่อนปรนสำหรับเพศที่ 3 มากขึ้น แต่ทั้งนี้พวกเขาก็ยังคงต้องเรียกร้องในหลายๆ เรื่องต่อไปเพื่อความเท่าเทียมกันภายในสังคม

อันที่จริงไม่ว่าจะเกิดมาแล้วเป็นเพศอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตก็คือความดี หากว่าทุกคนทำความดีประเทศชาติก็จะมีความเจริญก้าวหน้าไปในทิศทางที่ดี แต่ถ้าหากว่าคนในสังคมกลับเมินเฉยที่จะทำความดีสิ่งต่างๆ ของประเทศก็มีแต่จะลดน้อยถอยลงไป การจะเป็นเพศที่ 3 ไม่ใช่เรื่องผิดหากว่าเป็นคนดีและการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทั้งหลายก็จะได้รับการตอบแทนในไม่ช้าอย่างแน่นอน

lovers2

เสรีภาพทางศาสนาคืออะไรเรามทำความรู้จักกันดีกว่า

Religion.3

เสรีภาพทางศาสนาคืออะไรเรามทำความรู้จักกันดีกว่า อย่างที่เรารู้กันว่าศาสนานั้นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิดใจของบุคล และทุกศาสนามีคำสอนที่แตกต่างกันออกไปแต่ก็มีคำสอนอยู่คำสอนหนึ่งที่มีเหมือนกัน ก็คือ สอนให้ทุกคนนั้นเป็นคนดี ส่วนในเรื่องของกฎระเบียบของศาสนากฌจะแตกต่างกันออกไปอย่างเช่น ศาสนาพุทธห้ามทำผิดศีล 5 หรือ ศาสนามุสลิมห้สมกินเนื้อหมู เป็นต้น แต่ละศาสนาก็จะมีพระบิดาที่ไม่เหมือนกันอย่างชาวพุทธก็จะมี พระพุทธเจ้า มุสลิมก็จะมีพระอัลลอฮ์ ศาสนาคริสต์ ก็จะมีพระเยซู เป็นต้น โดยพระคัมภีร์ในแต่ละศาสนาก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป แต่ทุกศาสนาก็จะมีหลัดคำสอนบางอย่างที่แตกต่างกันแต่โดยรวมแล้วก็จะสอนให้ทุกคนนั้นเป็นคนดี สิทธิเสรีภาพทางศาสนา ก็คือ สิทธิที่ประชาชนในประเทศนั้นๆ สามารถที่จะเลือกได้ว่าจะนับถือศาสนาอะไรซึ่งกฎหมายไม่สามารถที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยว หรือไม่มีใครที่เข้ามาละเมิดสิทธินี้ได้ เพราะว่า สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนานั้นยังรวมไปถึงในเรื่องของความเชื่ออีกด้วย และศรัทธาอีกด้วย

Religion.2

สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาของไทย จะมีความเหมือนกับสิทธิเสรีภาพในเรื่องอื่นๆ ตามบัญญัติที่รัฐธรรมนูญได้ตั้งกฎเอาไว้ รัฐธรรมนูญของประเทศได้บัญญัติเสรีภาพทางศาสนาไว้ใน มาตราที่ 13 ของอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 หมวด 2 ว่าหน้าที่ และสิทธิของคนไทยเอาไว้ว่า ” บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาหรือลัทธิใดๆ และย่อมมีเสรีภาพ ในการปฎิบัติพีธีกรรมตามความนับถือของตน เมื่อไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือ ศีลธรรมของประชาชน อย่างไรก็ตามสิทธิเสรีภาพทางศาสนาในกฎนี้ในหลายประเทศก็มีขึ้นมาอยู่หลายประเทศเพื่อเป็นสิทธิของประชาชนในประเทศนั้นๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่ยังไม่ได้บัญญัติกฎสิทธิเสรีภาพทางศาสนาอยู่

เสรีภาพอิสระที่ทุกคนต้องการ

freedom

เสรีภาพอิสระที่ทุกคนต้องการ คำว่า เสรีภาพ ประกอบไปด้วย เสรีภาพทางสังคม , เสรีภาพทางการเมือง , อิสรภาพในตัวบุคคล และ อิสระทางเศรษฐกิจ

  1. เสรีภาพทางการเมือง ก็คือ รัฐบาลไม่สามารถกีดกันทางการเมืองของประชาชนได้ทั้งเรื่องการพูด , เรื่องการนับถือศาสนา และสื่อ
  2. อิสระทางบุคคล ก็คือ บุคคลไม่ถูกการจองจำจากทางรัฐบาล หรือ บุคคลอื่นถ้าในตัวบุคคลนั้นไม่ได้ทำผิดกฎหมาย หรือ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น
  3. อิสระทางเศรษฐกิจ ก็คือ ตัวบุคคลสามารถประกอบกิจการได้โดยที่รัฐบาลไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการได้ถ้าเกิดตัวบุคคลนั้นไม่ประกอบกิจการที่ผิดกฎหมาย หรือ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น
  4. เสรีภาพทางสังคม ก็คือ บุคคลนั้นสามารถทำอะไรก็ได้โดยทำในสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมาย และสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

freedom.1