นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2475 เป็นต้นมาประเทศไทยก็เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยซึ่งถือได้ว่าเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุดในปัจจุบัน และยังเป็นมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกต่างก็นิยมปกครองด้วยระบอบนี้ เพราะเป็นการปกครองที่ยอมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกผู้เข้ามาบริหารประเทศด้วยการเลือกตั้ง หรือที่เรียกว่า “อำนาจอธิปไตยที่มาจากประชาชน”
ระบอบประชาธิปไตยของประเทศเรามีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสูงสุด ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ในการบริหารประเทศ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งที่ประชาชนเลือกเข้ามา มีวาระบริหารคราวละ 4 ปี และหากหมดวาระก็มีโอกาสกลับเข้ามาบริหารประเทศได้อีกถ้าถูกเลือกเข้ามา โดยไม่มีข้อกำหนดว่าอยู่ได้กี่สมัย
ซึ่งจะว่าไประบอบประชาธิปไตยของบ้านเรามีมานานกว่า 80 ปี เกือบเท่าช่วงอายุหนึ่งของคน อาจจะดูว่านานแต่เมื่อเทียบกับบางประเทศที่ใช้เวลาเป็นร้อยปี แต่เหมือนกับว่าการเมืองไทยยังไม่ถูกพัฒนาไปในทิศทางไหนกันเสียที นักวิชาการบางท่านเคยกล่าวไว้ว่าเป็นเพราะ ประชาชนยังไม่มีความพร้อม ยังไม่รู้จักใช้สิทธิ์ ใช้เสียง ใช้อำนาจของตนเองที่มีอยู่ในมือ ในการเลือกผู้แทนของตนเอง (โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล มีการขายเสียงด้วยการแลกกับเงินเพียงเล็กน้อย โดยมีคำพูดติดหูที่ว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น”) อีกส่วนหนึ่งมาจากความไม่พร้อมของนักการเมือง ที่พร้อมจะทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อซื้อเสียงเข้ามา แต่ไม่พร้อมที่จะทุ่มเทให้กับประเทศ ต่างเข้ามาหวังกอบโกยผลประโยชน์เข้าสู่ตนเอง ขาดจรรยาบรรณของนักการเมือง และข้อสุดท้ายคือบ้านเมืองไม่พร้อม ทั้งในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ให้เป็นกฎหมาย แต่กลับกลายเป็นกฎหมายมีไว้บังคับใช้สำหรับคนจนเท่านั้น ในขณะที่ผู้มีอำนาจ มีอิทธิพล ผู้ร่ำรวยกับนำไปบังคับใช้ไม่ได้ส่งผลให้ประชนชนรู้สึกได้ถึงความไม่เสมอภาค
ดังนั้นสรุปได้ว่าประเทศไทยแม้จะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบเต็มรูปแบบอาจต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร จนกว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขปัญหาต่างๆให้ค่อยๆหมดไป ที่สำคัญคือประชนชนทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันยืนหยัดในหลักการของประชาธิปไตย ให้เป็นไปตามรูปธรรมของประชาธิปไตย ปล่อยให้บุคคลที่ถูกเลือกเข้ามาได้มีโอกาสบริหารประเทศได้ตามวาระเสียก่อน ไม่ใช่ว่าพอไม่ใช่ผู้ที่ตนให้การสนับสนุนได้เข้ามาบริหารประเทศก็ร่วมตัวกันขับไล่ หรือฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง หากต้องการใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือ ตอนเลือกตั้งก็ควรออกไปใช้สิทธิใช้เสียงเลือกคนที่มีประวัติการทำงานที่ดีให้เข้ามาบริหารประเทศจะดีกว่าการตกเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายประเทศคะ